Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player

 
 
 
  "พรทิพย์ มีมานะ" คนต้นแบบบ้านหนังสืออัจฉริยะ
  วันที่  8/07/2557
 
 


รายละเอียด
    


เที่ยงวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2557 ฉันเพิ่งทำภารกิจมื้อเทียงเสร็จพอดี เก็บถ้วยจานชามแช่น้ำไว้ไม่ทันล้าง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รีบหยิบขึ้นมาจะกดรับก็วางเสียแล้ว เช็คดูเบอร์แล้วกดโทรกลับ...ฮาโหล มีเสียงผู้หญิงตอบกลับ “สวัสดี บู” ฉันนิ่งนึกเร็ว ๆ ในหัว เจ้าของเสียงนี้ใครกัน แต่แล้วก็ต้องถามออกไป “นี่ใครครับ?...”...“นี่ ผอ-ออ.ค่ะ” เสียงตอบกลับเน้นคำหนักแน่น ฉันรีบเออ-ออ รับ “ครับ...ผอ.” ทุกอย่างกระจ่างในเวลาไม่ถึง 5 นาที ความว่าอยากให้ฉันเขียนบทความเกี่ยวกับคุณพรทิพย์ มีมานะ เครือข่ายบ้านหนังสืออัจฉริยะของเรา ซึ่งแกเพิ่งนำสับปะรดปลูกกับมือมาฝากท่าน ผอ.เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (17 พ.ค.2557) ว่ากันว่าความรู้การปลูกสับปะรดได้มาจากการอ่านหนังสือนี่เอง ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละครับ ฉันตบปากรับคำ จะหาเวลาไปสัมภาษณ์คุณพรทิพย์และครอบครัว พร้อมกับผลิตบทความเอามาลงเว็บห้องสมุดสักเรื่อง



ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ณ ที่ทำการชั่วคราวห้องสมุดประชาชนอำเภอแจ้ห่ม ฉันกำลังยุ่งกับหนังสือกองโตบนชั้นวางที่ไร้หมวดหมู่และเต็มไปด้วยฝุ่นผงเกาะเขรอะ หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งก็ก้าวเข้ามาหยิบหาหนังสืออ่าน นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบกับคุณพรทิพย์ เธออัธยาศัยดีช่างพูดช่างเจรจา แม้เป็นการพบกันครั้งแรกแต่เราก็สนทนากันหลายเรื่อง เรื่องที่จับใจฉันที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องอ่าน ๆ เขียน ๆ เพราะโดยส่วนตัวแล้วก็ชอบแนวนี้อยู่ไม่น้อย จึงทำให้การสนทนาออกรสทีเดียว เธอเล่าเรื่องการทำบ้านหนังสืออัจฉริยะที่บ้านสบฟ้า หมู่ 7 ให้ฉันฟังยาวเหยียด ฟังดูแล้วบ้านหนังสือฯของเธอมีชีวิตชีวาที่สุด ฉันยังมโนภาพเด็ก ๆ มารวมตัวกันที่บ้านหนังสือฯของเธอ นั่งอ่านนิทาน เล่นตุ๊กตา ระบายสีสดใสลงบนแผ่นกระดาษ และมีผู้คนบริเวณนั้นมาอ่านหนังสือในบ้านมากมาย เธอยังเล่าว่าได้เขียนเรื่องราวการทำกิจกรรมในบ้านหนังสือฯส่งไปลงนิตยสารขวัญเรือน พร้อมกับหยิบนิตยสารเล่มนั้นเปิดอวดให้ฉันดูด้วยความภูมิใจ



เรื่องที่ฉันประทับใจสุด ๆ ในการสนทนาครั้งนั้น คือ เรื่องการหายป่วยของชายคนหนึ่ง ความว่า ที่บ้านสบฟ้ามีชายคนหนึ่งตกจากหลังคาบ้านระหว่างก่อสร้าง แขนขาของเขาหักหมด อาการสาหัสมาก หลังจากไปหาหมอมาแล้วก็เดินไม่ได้เลย นอนกองอยู่แต่ในบ้าน คนในครอบครัวและชาวบ้านละแวกเดียวกันต่างลงความเห็นว่า ชายคนนั้นต้องพิการไปตลอดชาติแน่นอน เมื่อเธอรู้ข่าวเหตุการณ์นั้นเข้า เธอคิดว่าน่าจะทำอะไรได้บ้าง เธอพาเด็กตัวเล็ก ๆ หลายคนพร้อมด้วยหนังสือนิทานไปอ่านให้ชายคนนั้นฟังทุกวัน เวลาผ่านไปไม่นานนัก ชายคนนั้นก็หายป่วยและเดินไปไหนมาไหนได้อีกครั้ง ชาวบ้านทุกคนไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะหายกลับมาเดินปกติได้เช่นนั้นเลย ชายคนนั้นเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน คุณพรทิพย์เล่าเรื่องนี้ด้วยแว่วตาเปี่ยมสุข บางทีการช่วยเหลือคนก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป แค่เห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ ก็สร้างสิ่งมหัศจรรย์โดยที่เงินไม่อาจหาซื้อมาได้



ฉันแอบตั้งคำถามเล่น ๆ ในใจ “หนังสือหรือเด็ก ๆ กันแน่ที่ช่วยรักษาชายคนนั้น ?...”



หลังการสนทนาครั้งนั้น ฉันไม่มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะกับคุณพรทิพย์อีก จนเช้าวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2557 หลัง คสช.ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศไทยเป็นวันที่สาม ฉันเดินทางไปบ้านคุณพรทิพย์ พร้อมกับคำถามเต็มหัวเกี่ยวกับเรื่องราวการปลูกสับประรดของครอบครัวนี้ มันเป็นเรื่องราวแสนธรรมดาแทบไม่น่าสนใจอะไร เพราะคนแถบนี้ปลูกสับประรดกันถ้วนหน้า ประเด็นน่าสนใจดังเกริ่นไว้ต้นเรื่อง มันเป็นดอกผลของการอ่านล้วน ๆ ครับ



คุณพรทิพย์เล่าว่า แรกทีเดียวไปยืมหนังสือห้องสมุดประชาชนมาอ่าน ทั้งการเพาะเห็ด การปลูกสับปะรด ฯลฯ น้องใหม่ลูกชายคนโตก็ว่า “แม่ทำไมเราไม่ปลูกสับปะรดไว้กิน” ก็เลยสนใจอ่านหนังสือการปลูกสับปะรดอย่างจริงจังขึ้นมา ทั้งสามีและตัวเธอเองช่วยกันหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตควบคู่ไปด้วย จนตัดสินใจเข้าไปขอคำปรึกษาจากคนบ้านสา แหล่งปลูกสับปะรดของอำเภอแจ้ห่ม ไปดูสวนสับปะรด ขอคำแนะนำการปลูกถึงบ้านเลย ตอนนั้นซื้อกล้าพันธุ์เขามา 1,500 ต้น ราคาต้นละ 1 บาท เป็นพันธุ์สายน้ำผึ้ง พอจะปลูกจริง ๆ ก็จ้างเจ้าของกล้าพันธุ์มาช่วยปลูกด้วย ระหว่างนั้นก็ปรึกษาเรื่องการดูแล ระยะเวลาเก็บเกี่ยว เขาก็ให้คำปรึกษาดีมาก ปีแรกที่ปลูกผลผลิตก็ออกมาดี แต่รสชาติไม่ค่อยหวานเท่าที่ควร พอมาปีที่สอง เริ่มเอาน้ำหมักชีวภาพที่ทำเองมารด ปรากฏว่าสับปะรดหัวใหญ่รสชาติหวานมากกว่าปีก่อน



บ้านสบฟ้าจะมีวัตถุดิบสำหรับทำน้ำหมักเยอะ เพราะชาวบ้านปลูกฟังทองเมล็ดพันธุ์ เขาจะเอาแต่เมล็ดฟังทองส่งขายบริษัท ส่วนอื่น ๆ ก็ทิ้ง เห็นแล้วคิดว่าน่าจะเอามาทำน้ำหมักชีวภาพได้ ก็เลยเข้าไปปรึกษาครูเบญ (เบญญาภา คำปันศรี ครู กศน.ตำบล) ขอสูตรการทำน้ำหมักจาก กศน.อำเภอแจ้ห่ม พอทำแล้วก็เอามาแบ่งให้ชาวบ้านใช้รดพืชผักในสวน ส่วนตัวใช้รดสวนสับปะรดและสมุนไพรหลังบ้าน ปัจจุบันชาวบ้านหลายคนเริ่มทำน้ำหมักใช้เองบ้างแล้ว



ด.ช.พอเพียง มีมานะ หรือ น้องใหม่ เสริมว่า “สับปะรดมันหวานไม่ใช่เพราะใส่ปุ๋ยน้ำหมักอย่างเดียว ใหม่อ่านหนังสือให้ฟังบ่อย ๆ มันจึงหวานและหัวใหญ่” เป็นยังไง ใครมีสวนสับปะรดลองวิธีของน้องใหม่ดูบ้างก็ได้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ



ด้วยความที่ครอบครัวชอบกินสับปะรด จึงปลูกเป็นปีที่สองแล้ว เนื้อที่ประมาณ 1 งาน ตั้งใจปลูกไว้กินกันในครอบครัว เหลือก็นำไปขายตลาดเช้าบ้านสบฟ้าและตลาดเทศบาลบ้างเป็นครั้งคราว พอมีรายได้จุนเจือครอบครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ น้องใหม่ก็ออกไอเดีย ตั้งชื่อสวนเป็นสวนพอเพียง แต่ยังไม่ได้ทำป้ายอะไรให้เลย



นอกจากเรื่องสับปะรดเราสนทนาถึงบ้านหนังสืออัจฉริยะที่คุณพรทิพย์ทำอยู่ในปัจจุบันด้วย เธอเล่าว่าทำบ้านหนังสืออัจฉริยะเข้าปีที่ 2 แล้ว ก่อนหน้านั้นทำมุมอ่านหนังสือให้ลูก ๆ อยู่แล้ว โดยเป็นไอเดียของน้องใหม่ เขาจะมีไอเดียเยอะมาก และแม่ก็เป็นคนทำตามไอเดียตลอด พอทำมุมการอ่านที่บ้าน เด็ก ๆ จากในหมู่บ้านก็มาอ่านหนังสือ มาทำกิจกรรม เช่น วาดภาพระบายสี ทำเสร็จก็เอาผลงานของเขาติดโชว์ไว้ใต้ถุนบ้าน เด็ก ๆ จะภูมิใจมากเมื่อได้เห็นผลงานของตนเอง



ตอนยังไม่เป็นบ้านหนังสืออัจฉริยะ ก็ให้บริการนิตยสารขวัญเรือน เพราะโดยส่วนตัวชอบอ่านขวัญเรือนและมีสะสมไว้มาก พอได้รับคัดเลือกจากชาวบ้านเป็นบ้านหนังสือฯ ทาง กศน.ได้สนับสนุนหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร อาทิ ไทยรัฐ คมชัดลึก ขวัญเรือ และ คู่สร้าง&คู่สม ทำให้มีหนังสือหลากหลายมากยิ่งขึ้น ชาวบ้านเข้ามาใช้บริการมากขึ้นตามไปด้วย บางครั้งเอาหนังสือพิมพ์ไปให้คนเฒ่าคนแก่ที่เดินไม่ได้อ่านถึงบ้าน บางคนขอเราอ่านให้เขาฟัง แถมยังบอกอีกว่า อ่านหนังสือให้ฟังอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องนวดให้ด้วย (หัวเราะ) พอไปอ่านให้ฟังบ่อย ๆ บางครั้งไม่ว่างไปหลายวันเข้า เขาก็ถามหา “ทำไมไม่มาอ่านหนังสือให้ฟังเลย” เราก็ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง เขาก็เข้าใจ


ตลอดเวลาที่ทำงานตรงนี้เพราะใจรักส่วนหนึ่ง และทำด้วยจิตอาสา ที่สำคัญ คือ เมื่อเห็นแว่วตาของเด็ก ๆ เวลามาขอให้ทำโน้นทำนี่ให้แล้ว ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อทำสิ่งที่เด็ก ๆ ต้องการเขาก็สนใจมาอ่านหนังสือกันมากขึ้น ผู้ปกครองในหมู่บ้านก็ตามลูกหลานมาด้วย นั่นคือผลพลอยได้ที่เกิดขึ้น เรียกได้ว่าใช้พลังของเด็กตัวเล็ก ๆ ดึงผู้ปกครองให้เข้ามาร่วมอ่านหนังสือด้วยก็คงจะไม่ผิดนัก



ที่ผ่านมาสามารถทำให้ผู้สูงอายุและเด็กหันมาอ่านหนังสือกันมากทีเดียว จากที่กลุ่มเด็กเอาแต่ไปนั่นเล่นเกม กลุ่มผู้สูงอายุก็อยู่กันเงียบเหงา เพราะลูกหลานไปทำงานในกรุงเทพหมด การมีกิจกรรมให้ทำร่วมกันช่วยคลายความเหงาในบั้นปลายชีวิตได้บ้าง อย่างช่วง 2 เมษาที่ผ่านมา เขาก็ชื่นชม กศน.ที่มาจัดกิจกรรมให้ คนเฒ่าคนแก่ได้ตัดตง เขาชอบมาก บอกไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนเลย เทศบาลเคยจัดกิจกรรม แต่เขาจัดในเทศบาล ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าไปร่วมได้



สิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำบ้านหนังสือฯ ที่เห็นได้ชัดคืน ลูก ๆ อยากไปโรงเรียนมากขึ้น อยากไปเจอเพื่อน ๆ ผลการเรียนก็ดีขึ้น โดยเฉพาะน้องใหม่ สอบได้ลำดับต้น ๆ ของชั้นเรียน เพราะรักการอ่าน ปัจจุบันน้องใหม่สนใจจะเล่นอูดูเลเล่ จึงซื้อให้ตัวหนึ่ง ราคา 800 บาท “เห็นลูกสนใจก็ส่งเสริม” เธอกล่าวทิ้งท้าย



เมื่อถามน้องใหม่ว่าอ่านหนังสือแล้วได้อะไร น้องใหม่ตอบว่า “อ่านหนังสือแล้วกินข้าวอร่อย มีเพื่อนเยอะ”



คุณละ!.....เคยถามตัวเองหรือไม่ “อ่านหนังสือแล้วได้อะไร”?....



ท่ามกลางสถานการณ์การอ่านของคนไทยที่ยังวิกฤต แนวทางของบ้านหนังสืออัจฉริยะบ้านสบฟ้า อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการส่งเสริมการอ่านในหลาย ๆ พื้นที่ ประเด็นคือเราจะสร้างคนอย่าง คุณพรทิพย์ มีมานะ ในชุมชนอื่นได้อย่างไร โดยเฉพาะปี 2558 บ้านหนังสืออัจฉริยะจะขยายเต็มพื้นที่อำเภอแจ้ห่ม 64 หมู่บ้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีพรทิพย์ในหมู่บ้านอื่น ๆ นั่นคือโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายให้ขบคิดกันอย่างจริงจัง

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยแจ้ห่ม 136 ม.3 ต.แจ้ห่ม อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง โทร./FAX 054-271555